เคล็ดลับ 5 อย่างที่ทำให้ชีวิตมีความสุข

การทำให้ชีวิตมีความสุขอาจจะเป็นเรื่องง่าย ของใครหลายคนแต่สำหรับบางคนเรื่องนี้ถือว่าไม่ง่ายเลย ยิ่งเราเป็นผู้ใหญ่ วัยทำงาน มีครอบครัวที่ต้องดูแลรับผิดชอบ การทำชีวิตให้มีความสุขนั้นบอกเลยว่าเป็นเรื่องยากขึ้นกว่าเดิมมากจนทำให้ใครหลายคนคิดว่าอยากกลับไปเป็นเด็กที่เล่นสนุกไปวันๆแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย เอางี้เรามีเคล็ดลับบางอย่างให้ลองไปทำกันดูน่าจะทำให้เรามีความสุขในชีวิตวัยทำงานมากขึ้น

หาเวลาทำกิจกรรมอื่นบ้าง

ความเครียดเป็นศัตรูชั้นเลิศของการทำงานในวัยทำงาน บางคนต้องทำงานตลอดเวลาทั้งสัปดาห์แทบจะไม่มีวันหยุดเลย เราขอแนะนำว่า ควรหาเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมอื่นบ้างตามโอกาสไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย ทำงานอดิเรก ทำกับข้าว ต่อโมเดล อ่านหนังสือ ดูหนัง เที่ยวต่างจังหวัดที่ไม่ไกลมาก กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้เราผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานได้อย่างดี

พักจากโทรศัพท์บ้าง

ความทันสมัยของโทรศัพท์มือถือ ทำให้เราอยู่ติดกับมันได้ทั้งวัน ทั้งคืน ดูโลกโซเชียล คุยกับคนนั้นคนนี้มากมายเต็มไปหมด ฟังดูเหมือนจะดี แต่บางครั้งการเสพโลกโซเชียลมากเกินไปก็ทำให้เราเป็นทุกข์ได้เหมือนกัน แนะนำว่าควรพักสายตาจากโทรศัพท์หรือเรื่องราวบนโลกออนไลน์บ้างถอดปลั๊กตัวเองจากเรื่องพวกนี้สักหน่อย

ทำกิจกรรมทางศาสนา

หากเรารู้สึกเหนื่อยล้า เครียด เป็นทุกข์จากการทำงาน เราขอแนะนำว่าให้ลองหาเวลาทำกิจกรรมทางศาสนาของตัวเองบ้าง อย่างเช่น การนั่งสมาธิ สวดมนต์ แม้จะใช้เวลาไม่มากนักในแต่ละวัน แต่ก็ทำให้เราผ่อนคลายความคิดจากจิตที่สับสนได้ดี การทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้ผลเพียงแค่บาปบุญตามความเชื่อเท่านั้น ยังเป็นการสำรวจจิตใจของตัวเองอีกด้วย

นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

ความเครียด บางครั้งอาจจะเกิดจากที่เรานอนไม่พอ หลายคนกว่าจะนอนก็ปาเข้าไปเที่ยวคืนหรือมากกว่านั้น ทำให้เวลาในชีวิตนอนไม่พอ ผลที่เกิดขึ้นก็จะทำให้เราเหนื่อย หงุดหงิด ไม่สดชื่น สดใส ยิ่งบวกกับความเครียดวันต่อไป ก็จะยิ่งสะสมเข้าไปอีก ดังนั้นแต่ละวันควรหาเวลานอนให้ได้สัก 6-7 ชั่วโมง ก็จะดี

ปล่อยผ่านไปบ้าง

ชีวิตในวัยทำงานต้องเจอเรื่องราวมากมายทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว เรื่องตัวเอง เรื่องคนอื่น เรื่องดารา และอีกสารพัดเรื่องที่เข้ามา ยิ่งเราไปใส่ใจในทุกเรื่องก็ยิ่งจะทำให้เราเครียดขึ้นด้วย แนะนำว่าเรื่องไหนไมเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง ก็ทำเพียงแค่รับรู้แล้วก็ปล่อยผ่านไปดีกว่า เก็บมาคิดทุกเรื่องไม่ไหวนะ ทุกข์เข้าไปอีก เคล็ดลับเหล่านี้ลองไปทำกันดู

8 เคล็ดลับการควบคุมอารมณ์เวลาโกรธ

8 tips for controlling emotions when angry

“โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า” เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินวลีที่ว่านี้อย่างแน่นอน แต่จะให้ทำไงได้ก็ความโกรธมันไม่เข้าใครออกใคร บางคนถึงกับฆ่ากันเลยก็มี ซึ่งการควบคุมอารมณ์ถือเป็นปัจจัยที่ช่วยเราให้พ้นจากเรื่องน้ หากใครต้องการตัวช่วยขจัดอารมณ์โกรธของตัวละก็เรามีมาบอก

เคล็ดลับดีๆ ในการควบคุมอารมณ์

  1. ทำช้าๆ ปัญหาไม่เกิด – ลองทำอะไรให้ช้าลง เช่น พูดช้าลง พูดช้าลง กระพริบตาให้ช้า เพื่อให้เราได้จดจ่ออยู่กับสิ่งๆ นั้นแทน ในทุกๆ ครั้งที่จะพูดก็ขอให้คิดก่อน อย่าใช้คำหยาบคาย เพราะเหตุการณ์รุนแรงบานปลายมักมาจากการกระทำ หรือคำพูดที่ไม่คิด
  2. อย่านึกถึงแต่ตัวเอง – บ่อยครั้งที่เวลาอารมณ์โกรธครอบงำเรามักจะนึกเข้าข้างแต่ตัวเองจนลืมเหตุผลของคู่กรณี ดังนั้นหากมีความโกรธให้พยายามนึกถึงคนอื่นๆด้วย เช่น คู่กรณี ครอบคัว ญาติพี่น้อง ที่หากเราทำอะไรลงไปพวกเขาเหล่านั้นอาจต้องมาเสียใจภายหลังได้
  3. นับ 1-10 ไว้ในใจ – ก่อนที่เราจะด่า หรือลงไม้ลงมือกับใครให้เราบังคับตัวเองพยายามหายใจเข้าลึกๆ พร้อมนับเลข 1-10 ในใจช้าๆ จดจ่ออยู่กับตัวเลข ปล่อยความคิดร้ายให้ออกจากหัวไป เฉกเช่นการทำสมาธินั่นเอง
  4. ลองเอ่ยคำขอโทษ – การเอ่ยคำขอโทษก่อนไม่ใช่ว่าเราผิด แต่เป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจ รู้สึกดีขึ้น อารมณ์เย็นขึ้น เพราะหลายๆ คนติดทิฐิที่สูงของตัวเองทำให้ไม่ค่อยพูดคำๆ นี้ออกมา เรื่องราว เหตุการณ์ก็จะบานปลายไม่จบไม่สิ้น
  5. ให้กฎหมายเป็นตัวช่วย – แน่นอนว่าถ้าเราไม่ได้ทำผิดจริงๆ ให้อยู่นิ่งๆ รอกฎหมายเป็นที่พึ่ง ยิ่งพูดเยอะ ยิ่งใส่อารมณ์โกรธ ก็ยิ่งทำให้เราดูเป็นคนก้าวร้าว ไม่น่าเชื่อถือ และไม่น่าช่วยเหลือ
  6. อภัยให้เป็น – อะไรที่เป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อยที่ทำให้เราเกิดอารมณ์โกรธก็อยากจะให้อภัยกันและกันไป อย่าไปถือโทษให้เกิดอารมณ์ ปล่อยได้ปล่อย บอกตัวเองช่างมัน อย่าทำให้เหตุการณ์ไม่ควรจำมาทำลายความสุขในวันนั้นไป
  7. ทำหูทวนลม – เวลาเกิดปัญหากันขณะที่เราเงียบไม่โต้ตอบ อีกฝ่ายจะพยายามยั่วโมโหให้เราใส่กลับ ดังนั้นเราควรมีสติ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ อย่าฟัง อย่าเห็น เพื่อปัดเป่าความโกรธของเราเองออกไป
  8. ขอเวลาสักพัก – ในกรณีที่ไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย ให้ขอตัวออกจากเหตุการณ์นั้นมาก่อน หาที่เงียบๆ ทำความเข้าใจกับตนเอง แล้วลองนับเลข นึกถึงคนอื่น ฯลฯ ไปก่อน ให้ต่างฝ่ายได้พักหายใจหายคอบ้าง

2019 ยุควัยรุ่นครองเมืองทำดีไม่ยาก และก็ไม่ง่าย

วัยรุ่นเป็นช่วงเวลาที่เรามักจะเรียกกันว่า “ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ” ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากวัยรุ่นนั้นมีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กที่เคยเชื่อฟังพ่อแม่ หลังจากที่เริ่มโตขึ้นก็มีความคิดที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น การเชื่อฟังพ่อแม่ก็ละลดลงตามเวลา มีการตัดสินใจด้วยตัวเองมากขึ้น ช่วงวัยรุ่นถือว่าเป็นการเลี้ยงที่ยากที่สุดเลยก็ว่าได้ ปัจจุบันนี้โลกออนไลน์ได้เข้ามามีส่วนในชีวิตของเรามากขึ้น ทำให้วันรุ่นเสพข่าวโซเชียวในทางที่ไม่ค่อยจะดีนัก ทำให้เกิดความคิดที่ผิดหรือเสพในสิ่งที่ไม่ควรเสพเช่น การตีกัน หรือวีดีโอต่างๆที่ไม่มีการจำกัดขอบเขตของอายุ  ทว่ากระแสที่เปลี่ยนไปในตอนนี้ก็คือกระแสของการเป็นวัยรุ่นยุคใหม่ที่ใส่ใจการทำความดี

“ความดี” คำว่าความดีในนี้ไม่ได้หมายถึงจะต้องทำอะไรเพื่อประเทศชาติ หรือให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าด้วยความคิดที่แปลกใหม่อะไรขนาดนั้น แต่สำหรับการทำความดีนั้นมีหลากหลายมาก ไม่ว่าใครก็สามารถทำความดีได้เหมือนกันทั้งนั้น การเป็นวัยรุ่นบางคนอาจจะมองว่ามันคือการเมต้นของการใช้ชีวิตในแบบของตัวเองอย่างจริงจัง แต่อย่าลืมนะครับว่าโลกขอเรานั้นมันมีพลังบวกแอบแฝงอยู่เป็นจำนวนมาก ฉะนั้นวันรุ่นจึงถือว่าเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมไทยให้น่าอยู่ โดยที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องใดทั้งสิ้นการสร้างความดีนั้นมีหลายวิธีโดยเฉพาะ การตั้งใจเรียน พร้อมปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี นี่คือพื้นฐานการทำดีง่ายๆในสิ่งที่ทุกคนนั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเอง การช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว โดยการใช้เงินประหยัด และช่วยทำกิจกรรมต่างๆในครอบครัวมากกว่าการไปเที่ยวเล่นตามสถานที่ต่างๆ

นาฬิกาอัจฉริยะปั้นได้สไตล์ญี่ปุ่นเก๋ๆ

การให้เด็กได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอย่อมช่วยพัฒนาความสามารถของเด็กๆ ให้ได้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้รูปแบบเดิมๆ ที่จะเสริมพัฒนาการของพวกเขาได้เท่านั้น การได้มีโอกาสพบเจอกับเรื่องราวดีๆ อันทันสมัยจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีจบสิ้น อย่างถ้าใครได้พบเจอกับคำว่านาฬิกาหลายคนคงคิดว่านี่คือตัวเรือนนาฬิกาที่คอยบอกเวลาทว่าจริงๆ แล้วมันยังมีความหลากหลายมากกว่ากับนาฬิกาอัจฉริยะปั้นสไตล์ญี่ปุ่นที่จะทำให้ความเป็นนาฬิกาได้อะไรมากกว่าที่คิด

เรื่องราวน่ารู้กับนาฬิกาอัจฉริยะปั้นได้สไตล์ญี่ปุ่น

คือต้องบอกเลยว่า นาฬิกาอัจฉริยะปั้นได้สไตล์ญี่ปุ่น ไม่ใช่นาฬิกาที่เราเอาไว้สวมใส่หรือเอาไว้ดูเวลากันจริงๆ แต่นี่คือหนังสือที่จะทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่พวกเขาต่างต้องชื่นชอบแน่นอนเป็นหนังสือที่มาจากญี่ปุ่นถูกแต่งขึ้นโดย Gakken แปลเป็นไทยโดย ศุภกัญญา ฉันทวิลาศ เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป หนังสืออย่างนาฬิกาอัจฉริยะปั้นได้สไตล์ญี่ปุ่นเป็นหนังแนวแนวสารคดี ให้ความรู้ต่อเด็กและเยาวชนการันตีเลยว่าทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู สามารถเลือกใช้หนังสือเล่มดังกล่าวเป็นสื่อในการสอนเกี่ยวกับเรื่องเวลาขั้นพื้นฐานต่อเด็กๆ ได้อย่างสบายๆ อีกทั้งเด็กๆ ยังจะได้เรียนรู้กับนาฬิกาแบบเข็มและนาฬิกาแบบตัวเลข เรื่องราวภายในหนังสือเล่มนี้จะเริ่มต้นจากการสอนดูเวลาง่ายๆ เช่น ส่วนประกอบต่างๆ ของนาฬิกา เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของหน่วยเวลา นาที ชั่วโมงผ่านกิจกรรมที่ทำให้เด็กรู้สึกสนุกสนานอย่างการระบายสี การติดสติ๊กเกอร์ การลากเส้นจับคู่ การหาทางออกผ่านเขาวงกต และอื่นๆ อีกมากมายที่ถูกอัดแน่นเอาไว้ภายในหนังสือนาฬิกาอัจฉริยะปั้นได้สไตล์ญี่ปุ่น กิจกรรมต่างๆ ที่กล่าวมาจะเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นความคิดของเด็กให้ได้เรียนรู้เรื่องของเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งถ้าพวกเขาได้ทำกิจกรรมภายในหนังสือไปพร้อมกับผู้ใหญ่ซึ่งคอยสอนทำความเข้าใจจะยิ่งทำให้พวกเขาสามารถเรียนรู้เรื่องราวภายในหนังสือได้แบบเพลิดเพลิน นอกจากนี้ยังถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

จุดเด่นสำคัญของหนังสืออย่างนาฬิกาอัจฉริยะปั้นได้สไตล์ญี่ปุ่นก็คือ จะทำให้เด็กๆ ได้เข้าใจและรู้เรื่องของเวลาง่ายขึ้นกว่าเดิม ทำให้พวกเขาดูเวลาเป็น บอกเวลาที่ถูกต้องได้ เป็นการพัฒนาประสบการณ์ชีวิตให้ก้าวขึ้นมาอีกขั้นแถมยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัวอีกด้วย ใครก็ตามที่กำลังต้องการสอนลูกให้รู้เรื่องของเวลาแนะนำว่าหนังสือนาฬิกาอัจฉริยะปั้นได้สไตล์ญี่ปุ่นเป็นหนังสือคุณภาพดีที่ทุกคนนำไปใช้งานได้จริง เด็กๆ จะเข้าใจเวลาได้รวดเร็วขึ้นด้วย

เคล็ดไม่ลับวิธีทำให้ IQ เพิ่มขึ้น

iqpicnew

ความฉลาดก็เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่มนุษย์ทั้งหลายต้องการ โดยเฉพาะบรรดานักเรียน นักศึกษาซึ่งอยู่ในช่วงวัยเก็บเกี่ยวความรู้ เพื่อนำไปใช้ในการทำงาน ความฉลาด สามารถพัฒนาได้ ถ้าเรามีความตั้งใจจริง วันนี้เราจึงมีเคล็ดไม่ลับวิธีทำให้ IQ ขอบคุณเพิ่มขึ้นกันค่ะ แต่เคล็ดลับเหล่านี้ก็เหมือนกับเป็นตัวช่วยส่วนหนึ่ง อย่าลืมว่าคุณต้องหมั่นอ่านหนังสือ ขยันหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาด้วยนะคะ

พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

การอดนอน มีแต่ผลเสีย เพราะมันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานสมองลดลง แค่คุณอดนอนไม่กี่ชั่วโมงเป็นเวลา 2-3 คืนติดกัน ก็ทำให้ความสามารถของสมองทำงานไม่เต็มที่ คิดอะไรก็ช้าไปหมด ลอยๆเบลอๆ สติไม่อยู่กับตัว ประโยชน์ของการนอนหลับให้เพียงพอไม่ใช่แค่ ทำให้สมาธิให้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ระหว่างที่คุณกำลังนอนหลับสนิท สมองจะทำการคัดแยก ข้อมูลที่ถูกใส่เข้ามาในความทรงจำเพื่อนำไปใช้ รวมทั้งทำให้ระบบต่างๆของร่างกายได้รับการซ่อมแซม ฟื้นฟู ทางสายกลาง เป็นคำซึ่งนำมาใช้ได้เกือบทุกสถานการณ์ของชีวิต อย่าหักโหมจนเผลอทำร้ายสมองตัวเอง

ควรรับประทานอาหารบำรุงสมองให้มาก

สมองเป็นอวัยวะซึ่งต้องการรับพลังงานมากที่สุด สำหรับอาหารช่วยบำรุงสมองมีมากมายหลายอย่าง เช่น Omega 3เป็นกรดไขมันชนิดหนึ่งมีหน้าที่สร้างเซลล์ประสาท โดยร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถผลิตได้เอง จำเป็นต้องรับจากการกินเท่านั้น  ช่วยสร้างออกซิเจนในสมอง ทำให้สมองไหลลื่น พบมากในเลือด ตับ เนื้อสัตว์หลายชนิด น้ำมันตับปลา เป็นต้นคาร์โบไฮเดรต จัดเป็นแหล่งพลังงานของสมอง ควรทานมากในมื้อเช้า เช่น ขนมปัง ถั่ว เป็นต้น สารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในผักและผลไม้ ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ให้ฟิตปั๋ง พบมากในปลาและอาหารทะเล

ฟังเพลง และเล่นดนตรีเพื่อทำให้จิตใจผ่อนคลาย

การฟังเพลงช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลาย โดยเฉพาะเพลงคลาสสิกของ Mozart นอกจากนี้การฝึกเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ ที่เราชอบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีสากล หรือเครื่องดนตรีไทย ก็เป็นการบริหารสมองอีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้โน๊ตเพลง วิเคราะห์จังหวะ รวมทั้งการจดจำเนื้อเพลง เป็นความสามารถอันมีประโยชน์ ซึ่งสมองนำไปใช้ประยุกเข้ากับกิจกรรมอื่นๆได้

ทำสมาธิ

เป็นการจับจิต กำหนดลมหายใจ ให้อยู่กับปัจจุบัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาซึ่งมีพลังงานมากที่สุด การฝึกสมาธิเป็นประจำจะช่วยให้มีความจำดีขึ้น มีสติไตร่ตรอง วิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล ช่วยป้องกันอาการสมองเสื่อม คุณสามารถหาดนตรีประกอบในการนั่งสมาธิได้ เช่น Meditation Music เพื่อเพิ่มความผ่อนคลายและดิ่งลึก

ออกกำลังกาย

เมื่อคุณออกกำลังกายนอกจากจะได้ร่างกายที่สมส่วน แข็งแรงแล้ว การกระตุ้นจะมีมากที่สุดในสมองส่วน Hippocampus อันมีบทบาทสำคัญในการสร้างความทรงจำระยะยาวและการเรียนรู้

อุปกรณ์ความปลอดภัยในการออกเดินทางในแต่ละครั้ง

image031

การเดินทางแต่ละครั้งเรื่องของความปลอดภัยถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจุดมุ่งหมายของการเดินทางส่วนใหญ่โดยเฉพาะท่องเที่ยวคือต้องการสร้างความสุข ความสนุกสนานให้กับตนเองและผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน คงไม่สนุกแน่หากว่าการเดินทางในครั้งนั้นเกิดอุบัติเหตุในแบบที่ไม่คาดคิด การเตรียมความพร้อมเรื่องของอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ดงนั้นมาดูกันว่าอุปกรณ์ที่ควรมีเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาแต่ละครั้งคืออะไรบ้าง

อุปกรณ์สำหรับป้องกันความปลอดภัยในการออกเดินทางแต่ละครั้ง

  1. ยารักษาโรคทั่วไป – การเดินทางทุกครั้งจำเป็นต้องติดยารักษาโรคพื้นฐานไปด้วยเสมอเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอย่างน้อยพอได้ช่วยให้อาการทุเลาจากหนักเป็นเบาบ้าง ยาที่ควรพกไป เช่น ยาแก้ไข, ยาแก้หวัด, ยาแก้ท้องเสีย, ยานวด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญทำให้ผู้ได้รับบาดเจ็บมีอาการดีขึ้นก่อนนำส่งโรงพยาบาลกรณีอาการหนักมาก
  2. เสื้อกันฝนหรือเสื้อหนาว – กรณีที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีฝนตกเป็นประจำหรือมีอากาศหนาวจัดมากๆ เสื้อฝนกับเสื้อหนาวถือเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเป็นอุปกรณ์ช่วยปกป้องร่างกายไม่ให้พบเจอกับสภาพอากาศอันเลวร้ายจนกลายป่วยได้ หรือถ้าหากไปยังพื้นที่ที่แดดจัดมากๆ หมวก hawaii shirt เสื้อแขนยาวคืออุปกรณ์จำเป็นที่จะช่วยให้การเดินทางไม่เหนื่อยล้าเกินไป
  3. ไฟฉาย – อีกสิ่งสำคัญที่บางคนอาจคิดว่าไม่มีความจำเป็น แต่สำหรับคนที่ต้องพักแรมในป่าหรือพื้นที่มืดๆ การมีไฟฉายเอาไว้จะช่วยให้เราองเห็นสิ่งต่างๆ ในยามค่ำคืนได้ดี เป็นอุปกรณ์ป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกรณีมีใครจะเข้ามาทำร้ายหรือมีสัตว์เข้ามายุ่งวุ่นวาย
  4. ยาทาสำหรับกันยุง – การไปเที่ยวในหลายๆ สถานที่ยุงถือเป็นสิ่งรบกวนที่น่ารำคาญมาก การทายากันยุงเอาไว้จะช่วยให้มันไม่มากวนใจรวมถึงยังแมลงอื่นๆ ที่อาจเข้ามาทำร้ายโดยที่เราเองไม่รู้ตัว เมื่อทายากันยุงเหล่านี้เข้าไปจะช่วยได้ดีมากๆ เลย
  5. อุปกรณ์อื่นๆ ที่เหมาะสมตามสถานการณ์ – เช่น ใครขี่รถจักรยานยนต์ยนต์ควรมีการเตรียมหมวกนิรภัย เสื้อผ้าและอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ อย่างเหมาะสม, ใครนั่งเครื่องบิน นั่งเรือแล้วเกรงว่าจะเมาให้เตรียมยาแก้เมาเอาไว้ติดตัวตลอด เป็นต้น อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับการเดินทางได้

อุปกรณ์ทุกอย่างที่กล่าวมาล้วนเป็นสิ่งสำคัญทั้งสิ้นหากต้องการให้ทุกๆ ครั้งในการเดินทางเกิดความปลอดภัยอยู่เสมอ อีกทั้งยังไม่ทำให้เป็นห่วง กังวล หรือไม่สบายใจเพราะเกรงจะเกิดอันตรายขึ้นหากไม่เตรียมไว้ก่อน

การฝึกตัวเองเพื่อให้มีไหวพริบฉลาด

Practice to be clever.PICNEW

ความฉลาดเป็นสิ่งที่ทุกคนฝึกฝนกันได้ มันไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์ซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิด หากแต่เป็นผลจากพรแสวง คือความมุ่งมั่น ฝึกฝนอย่างไม่ย่อท้อ แต่ความฉลาดควรคู่มาพร้อมกับไหวพริบ เพราะเราคงเห็นตัวอย่างมาเยอะแยะมากมายแล้วว่า บางคนซึ่งเป็นคนเก่งหรือคนรวย เขาอาจไม่ได้เรียนเก่งที่สุดหรือฉลาดที่สุด แต่เขาเป็นคนที่มีความช่างสังเกต มีหัวพลิกแพลงเพื่อให้ความต้องการของเขา สามารถบรรลุผลสำเร็จ

4 วิธีการฝึกให้มีไหวพริบ

  • ฝึกตัวเองให้เป็นคนชอบเอะใจ หมั่นสังเกตตัวเอง ตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ พูดคุยกับตัวเองอย่างเป็นประจำ เช่น “เราต้องการให้ชีวิตของเราเป็นอย่างไรในอีก 5 ปีข้างหน้า ” , “เรามีความสามารถทางด้านการวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก เรารักการวาดรูป แต่ทำไมงานของเราในตอนนี้มันช่างแตกต่างกับสิ่งที่เราสามารถทำได้ดี ” , “เราจะเริ่มเปลี่ยนตรงไหนก่อนดี” เป็นเรื่องจริง ซึ่งบางคนคิดว่า เราก็แค่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป แล้วหวังว่าสักวันหนึ่งชีวิตก็จะดีขึ้นเอง ซึ่งถ้าคุณมัวแต่คิดอย่างนั้น วันนั้นมันอาจไม่มีวันมาถึง การเอะใจบวกกับการเริ่มวางแผนอนาคตตั้งแต่ วินาทีนี้ จะเป็นสิ่งช่วยทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้นได้
  • ฝึกลับมันสมองอย่างเป็นประจำ รวมทั้งประสาทสัมผัสอื่นๆ เช่น หู , ตา , สัญชาติญาณ ของคุณให้ไว้ให้พร้อม ฝึกให้ตนเองหัดเป็นคนช่างสังเกต พิจารณาเรื่องต่างๆด้วยความละเอียด ถี่ถ้วน เช่น ถ้าเราเป็นเขาเราจะแก้ไขอย่างไร ,  ตอนนี้เรากำลังเจอปัญหากับลูกค้า เราควรใช้วิธีไหนแก้ไขถึงจะดีที่สุด เป็นต้น รวมถึงเกมใช้ความคิดแก้ปริศนาต่างๆก็ช่วยทำให้สมองของคุณได้รับการกระตุ้น และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น เช่น ซูโดกุ , รูบิก เป็นต้น
  • เก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่เสมอ ประสบการณ์ในที่นี้อาจเป็นสิ่งที่เราค้นพบ ประสบด้วยตนเอง หรือศึกษาจากชีวิตของคนรอบตัว ศึกษาชีวิตผู้อื่นซึ่งเคยพลาดมาก่อน เช่น ทำไมชีวิตเขาถึงเป็นอย่างนี้ ชีวิตเค้าดีขึ้นเพราะเขาทำอะไร แล้วชีวิตเค้าดิ่งลงเหวเพราะอะไร  แล้วประสบการณ์ของเขาจะนำมาปรับใช้กับชีวิตเราได้อย่างไร หรือช่วยสอนใจอะไรเราได้บ้าง ทุกเหตุการณ์ในชีวิตล้วนเอามาสอนเราได้หมด
  • เริ่มจากทำสิ่งเล็กๆ ก่อน ก่อนเราจะวิ่งได้เราก็ต้องเดิน ก่อนเราจะเดินได้ก็ต้องคลานมาก่อน เพราะฉะนั้นเพื่อหาประสบการณ์ ขอแค่ความกล้าที่จะลงมือทำ ทุกคนเคยล้มเหลวมาก่อนทั้งนั้น แต่ถ้าเราไม่หยุดพัฒนา หรือสามารถข้ามความท้อแท้ ไปได้เราก็จะเจอแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์

สร้างบ้านโมเดิร์นราคาเพียงหลักแสน

ความใฝ่ฝันของหลายๆ คนคืออยากมีบ้านเป็นของตนเองสักหลังหนึ่งเพื่อที่ว่าจะได้ใช้ชีวิตในแบบฉบับที่ต้องการ แต่การมีบ้านทุกวันนี้ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะส่วนใหญ่แทบทั้งหมดหากเป็นบ้านหลังราคาก็กระโดดขึ้นไปเป็นหลักล้านด้วยกันทั้งสิ้นทำให้ก่อนจะเลือกซื้อบ้านจำเป็นต้องคิดไตร่ตรองให้ดีนั่นเอง บวกกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ได้ดีมากนักส่งผลให้การซื้อบ้านของครอบครัวหนึ่งต้องพิจารณากันมากเป็นพิเศษ แต่สำหรับใครที่มีงบเพียงแค่หลักแสนแต่อยากได้บ้านหลังเล็กๆ สักหลังซึ่งตัวเองมีแค่พื้นที่ขนาดไม่ใหญ่โตมากจริงๆ แล้วด้วยงบแค่นี้ก็สามารถทำบ้านสไตล์โมเดิร์นออกมาได้ไม่ยาก แล้วจะรู้ว่าเงินแค่หลักแสนแต่สามารถสร้างบ้านในฝันได้จริง

สร้างบ้านสไตล์โมเดิร์นด้วยเงินหลักแสน

การสร้างบ้านไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างต้องเป็นเงินไปเสียหมดหากเรามีไอเดียดีๆ ในการเนรมิตพื้นที่ธรรมดาให้กลายเป็นบ้านหลังเล็กๆ กับครอบครัวอันอบอุ่นสักหลังเราทุกคนก็สามารถทำได้เริ่มต้นจากควรรู้ก่อนว่าแบบบ้านที่เราทำเราอยากเริ่มทำกันแบบไหนเพราะบ้านสไตล์โมเดิร์นก็มีด้วยกันหลากหลายซึ่งจะขอแนะนำสไตล์บ้านที่งบหลักแสนแต่ความสวยงามหลักล้านให้ได้รู้จักกัน

  1. สร้างบ้านสไตล์โมเดิร์นทรอปิคอลด้านล่างใช้เสาหินแกรนิดมีประตูหน้าบ้านติดกับชานระเบียงพร้อมด้วยหน้าต่างห้องครัวที่ระบายกลิ่นต่างๆ ออกมาเวลาทำกับข้าว ส่วนด้านบนสามารแบ่งเป็นห้องนอนได้ 2 ห้อง มีหลังคายื่นออกมาด้านหน้าด้วยลักษณะการตกแต่งบ้านแบบนี้ใช้งบเพียง 5 แสนบาทเศษเท่านั้น
  2. บ้านสไตล์โมเดิร์นขนาดเล็กสำหรับครอบครัวขนาดเล็กที่เลือกใช้การสร้างแบบชั้นเดียวแต่ทำให้เหมือนบ้านตมโครงการทั่วไปด้านหน้าประตูบ้านมีบันไดเล็กๆ ให้เดินลงมายังพื้น มีไม้ระแนงกั้นหน้าระเบียงให้ดูแยกเป็นสัดส่วน ภายในแบ่งเป็นห้องนอนและห้องน้ำอย่างละห้องเก๋ไปอีกแบบใช้ปูนหรืออิฐมวลเบาทั้งหลังเบ็ดเสร็จราคาแค่ 5 แสน
  3. บ้านสไตล์โมเดิร์นที่ทำคล้ายห้องพักตามต่างจังหวัด เป็นบ้านชั้นเดียวแต่ยกตัวบ้านสูงด้านหน้ามีระเบียงสำหรับนั่งเล่น เน้นการใช้กระจกใสเพื่อให้บ้านดูโปร่ง โล่งสบายแม้มีขนาดเล็ก มีแนวชายคายื่นออกมาตรงระเบียงให้สามารถนั่งรับลมยามเย็นได้สบายๆ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ สนนราแค่ 7 แสนเท่านั้น

บ้านสไตล์คอทเทจขนาดเล็กล้อมด้วยเฉลียงรอบบ้านช่วยให้บ้านทั้งหลังมีพื้นที่ใช้สอยได้แบบเต็มอัตรา เหมาะกับการปลูกท่ามกลางสวนหรือต้นไม้นานาชนิด มีห้องใต้หลังคาเล็กๆ ไว้พักผ่อนหย่อนใจหรือจะเก็บของก็ได้หมด ราคาเพียงแค่ 4 แสนเท่านั้น

การเตรียมตัวก่อนออกเดินทางไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ

travel

 

การท่องเที่ยวถือเป็นสิ่งที่หลายคนชื่นชอบมาก ยิ่งได้ออกไปพบเจอโลกใบใหม่ที่ตนเองไม่เคยเจอมากเท่าไหร่มันยิ่งทำให้รู้สึกใช้ชีวิตได้คุ้มค่าอย่างมาก แต่การจะไปเที่ยวไม่ว่าสถานที่ใดก็ตามเรื่องของการเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเวลาออกเดินทางไปแล้วขาดนั่นลืมนี่มันจะมีปัญหาเอาได้ เรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้น่าจะเหมาะสมที่สุด ดังนั้นเราลองมาดูกันว่าต้องเตรียมอะไรไว้บ้าง

การเตรียมตัวก่อนออกเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ

  1. ของใช้ส่วนตัวที่ควรมีติดไว้บนเป้ใบเก่ง – ไม่ว่าจะไปที่ไหน เป้ใบเก่งของคุณคือสิ่งสำคัญมาก เข้าใจว่าบางคนมีกระเป๋าใบยักษ์ไว้ใส่เสื้อผ้ามากมายแต่กรณีมีปัญหาเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวการพกเป้ติดตัวไว้ช่วยคุณได้ โดยสิ่งของที่ควรมีไว้ในเป้ประจำกาย คือ เสื้อผ้าลำลองสัก 1 ชุดรวมชุดชั้นใน, ยาประจำตัว, แบตเตอรี่สำรอง เป็นต้น สิ่งจำเป็นเหล่านี้จะช่วยคุณได้ยามที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น
  2. บัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต – ถ้าท่องเที่ยวในประเทศบัตรประชาชนคือเรื่องสำคัญยิ่งถ้าเป็นต่างประเทศพาสปอร์ตนี่ถือเป็นอะไรที่สำคัญสุดๆ เพราะหากคุณไม่มีสิ่งเหล่านี้ติดตัวเอาไว้มันไม่สามารถระบุตัวตนได้ ในประเทศยังพออนุโลมด้วยความเป็นบ้านของเรา เราพูดภาษาไทยได้แต่ถ้าเป็นเมืองนอกอันนี้เรื่องใหญ่ทีเดียว
  3. เงินสดและบัตรเครดิต – ไปเที่ยวทุกครั้งเรื่องเงินคือสิ่งจำเป็นมาก เพราะเอาไว้ใช้จ่ายในด้านต่างๆ แทบทั้งสิ้น หากใครไปแต่ตัวงานนี้คงไม่มีทัวร์ยกแกงค์ เพราะแกงค์เพื่อนๆ อาจเบือนหน้าหนีได้ หากเงินสดมีน้อยก็ใช้น้อยนะแต่ควรพกไปด้วยห้ามลืมเด็ดขาด
  4. ศึกษาก่อนว่ามีอะไรในสถานที่ที่จะไปบ้าง – การศึกษารายละเอียดเบื้องต้นก่อนการเดินทางท่องเที่ยวทุกครั้งจะทำให้การเที่ยวของคุณสนุกมากขึ้น ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะพบเจอกับอะไรบ้าง มีการศึกษาเส้นทางต้องไปแบบไหน ผ่านอะไร อาหารการกิน เพื่อที่ว่าพอรู้จะได้เตรียมตัวด้านต่างๆ ไปอย่างเหมาะสม ไม่ต้องกังวลใจ
  5. เตรียมตัวเรื่องการเดินทาง – การเตรียมตัวเรื่องนี้สำคัญมากโดยดูว่าไปด้วยอะไร หากเป็นการเดินทางด้วยรถยนต์ก็เช็คสภาพรถต่างๆ ให้ดี เช่น ลมยาง, ระบบของเหลว, ระบบเบรก เป็นต้น ถ้าไปด้วยเครื่องบินก็เช็คตั๋วเครื่องบิน วันเวลาที่เครื่องออกให้เรียบร้อย

นี่เป็นสิ่งทีควรต้องเตรียมตัวทุกครั้งก่อนออกทริปการท่องเที่ยวของคุณจะได้ราบรื่น ไม่สะดุดหรือมีปัญหาจนกลายเป็นความไม่สนุกไปเสียเปล่าๆ

5 วิธีการฝึกให้ตนเองมีไหวพริบมากขึ้น

freedom

freedom

มีงานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่า มนุษย์เราสามารถฝึกฝนตนเองเพื่อให้มีสติปัญญาไหวพริบมากขึ้นได้ แต่ก่อนจะไปถึงกระบวนการเหล่านั้น มีนักวิชาการจำนวนมากพบว่า สิ่งที่จะมาก่อนคือ ความมีสติ ซึ่งหากมีสิ่งนี้แล้ว คนผู้นั้นก็จะมีสติปัญญาและไหวพริบตามขึ้นไปด้วย

วันนี้เราเลยอยากแบ่งปันวิธีการดังกล่าว ซึ่งสามารถฝึกฝนได้ในชีวิตประจำวัน เหมาะจะใช้ในการสั่งสอนลูกหลาน แต่ข้อสำคัญคือ ควรต้องหมั่นฝึกฝนตนเองเป็นประจำ

  1. ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอนเป็นประจำ มีงานศึกษาหลายชิ้นในโลกตะวันตกที่บ่งชี้ว่า การทำสมาธินำไปสู่สภาวะของจิตใจที่สงบนิ่ง ก่อให้เกิดปัญญาในการแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ มีการพบว่าพระภิกษุสงฆ์ในทิเบต หมั่นฝึกฝนการนั่งสมาธิอย่างเคร่งครัด จะมีอย่างอายุค่อนข้างยืน ไม่ค่อยเจ็บป่วย หรือเจ็บป่วยยาก
  2. การอ่านหนังสือก่อนนอน เราจะเห็นในภาพยนตร์ตะวันตกหลายเรื่อง พวกเขามีวัฒนธรรมหรือค่านิยมอย่างหนึ่งคือ พ่อแม่จะต้องมานอนอ่านนิทานหรือหนังสือกล่อมลูกก่อนนอน ตัวเด็กๆเองก็จะเหมือนรู้หน้าที่ ก่อนนอนก็จะเรียกร้องให้พ่อแม่อ่านนิทานหรือหนังสือที่ชอบอะไรก็ได้ให้ฟังก่อนนอน แล้วจึงค่อยหลับไป มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยชี้ว่า นี่เป็นวิธีปลูกฝังความรักการอ่านที่ดีที่สุด แล้วควรเริ่มตั้งแต่ยังเป็นเด็กด้วย
  3. การทานอาหารเช้าที่เหมาะสม อาจจะดูไม่เกี่ยว แต่งานวิจัยจำนวนมากได้ชี้ว่า การรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมโดยเฉพาะในตอนเช้า จะเป็นตัวกระตุ้นระบบการทำงานของสมองได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงระบบเผาผลาญ เส้นประสาท และอื่นๆในร่างกาย ข้อดีของมันประการหนึ่งสำหรับสาวๆทั้งหลายก็คือ การทานอาหารเช้า ช่วยควบคุมน้ำหนัก ไม่ทำให้เป็นโรคอ้วนได้เพราะมันจะกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ตามปกติ อีกทั้งการทานอาหารเช้าก็จะช่วยให้ความอยากอาหารของคุณในตอนเที่ยงไม่ได้มากเกินไป ที่สำคัญคือ มันจะทำให้การเผาผลาญไขมันทำได้ดีขึ้น แล้วยังลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลายอย่าง เช่น ไมเกรน โรคกระเพาะ ความดันโลหิต ฯลฯ แต่ที่ตรงประเด็นที่สุด เห็นจะไม่พ้นเรื่องที่ช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น เพราะมีสารอาหารไปหล่อเลี้ยงได้เพียงพอ โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียนและวัยรุ่น ควรต้องทานอาหารเช้า ซึ่งจะช่วยให้ระบบความจำทำงานได้ดีด้วย
  4. ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เรียกง่ายๆว่าให้เกิดการเผาผลาญไขมันในร่างกายทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น แต่ไม่ควรดึกหรือหลัง 3 ทุ่มไปแล้ว การออกกำลังกายที่พอเหมาะจะช่วยให้การเผาผลาญดี และกระตุ้นเซลล์สมอง หรือสรุปได้ว่า พยายามเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันให้มากๆ

5. เมื่อมีสติจากสมาธิ ระบบการทำงานในร่างกายดีขึ้นจากทั้งหมดว่ามา ข้อสำคัญที่ไม่แพ้กันคือ การพักผ่อนให้เพียงพอและเหมาะสม นอนไม่ดึกเกินไป และตื่นเช้า เวลานอนไม่ควรเกินเที่ยงคืนไปแล้ว เพราะในช่วงเที่ยงคืนถึงตีสอง จะเป็นช่วงที่ระบบการทำงานในร่างกายบางอย่างจะหยุดพัก ถ้าได้นอนพักผ่อนในช่วงนั้นมา ก็เท่ากับร่างกายได้มีโอกาสซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ รวมถึงระบบประสาท สมอง ได้พักผ่อนเพียงพอ ก็จะช่วยให้การทำงานดีขึ้นได้นั่นเอง